รีวิว ภาพรวม Woocommerce 2024 (EP2)

ฟังก์ชันหลักหลังบ้าน (Backend Functions) ของ WooCommerce เป็นส่วนที่ช่วยให้ผู้ดูแลระบบจัดการร้านค้าออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบาย โดยฟังก์ชันหลักหลังบ้านที่สำคัญของ WooCommerce มีดังนี้:

  • 1. การจัดการสินค้า (Product Management)
    – ผู้ดูแลสามารถเพิ่ม แก้ไข และลบสินค้าได้อย่างง่ายดาย
    – มีตัวเลือกการกำหนดลักษณะสินค้า เช่น ประเภท (สินค้าปกติ สินค้าดาวน์โหลด สินค้าบริการ) ราคา การจัดการสต็อก และการตั้งค่า SKU (รหัสสินค้า)
    – รองรับการตั้งค่าตัวแปรของสินค้า เช่น สี ขนาด และคุณสมบัติอื่น ๆ
  • 2. การจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management)
    – ระบบหลังบ้านของ WooCommerce ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถตรวจสอบและอัปเดตสถานะคำสั่งซื้อได้สะดวก เช่น รอการชำระเงิน ชำระเงินแล้ว กำลังจัดส่ง และจัดส่งสำเร็จ
    – มีฟังก์ชันในการดูข้อมูลคำสั่งซื้อ เช่น รายละเอียดสินค้า จำนวนเงินที่ชำระ และที่อยู่สำหรับการจัดส่ง
    – ผู้ดูแลสามารถออกใบแจ้งหนี้ ส่งอีเมลยืนยันคำสั่งซื้อให้ลูกค้า และบันทึกการจัดส่ง
  • 3. การจัดการสต็อกสินค้า (Inventory Management)
    – ผู้ดูแลสามารถกำหนดจำนวนสต็อกสินค้าและตั้งค่าการแจ้งเตือนเมื่อสินค้าคงคลังต่ำ
    – ฟังก์ชันจัดการสต็อกสินค้าให้ระบบแจ้งเตือนเมื่อต้องเติมสินค้าหรือสินค้าหมด
    – รองรับการจัดการสินค้าแบบ Pre-order หรือสินค้าที่ต้องสั่งล่วงหน้า
  • 4. การตั้งค่าการจัดส่ง (Shipping Settings)
    – สามารถตั้งค่าตัวเลือกการจัดส่งที่หลากหลาย เช่น ค่าจัดส่งแบบคงที่ ค่าจัดส่งตามน้ำหนักหรือขนาดของสินค้า และการจัดส่งฟรี
    – ผู้ดูแลสามารถเลือกการคำนวณค่าจัดส่งตามพื้นที่ ภูมิภาค หรือประเทศ รวมถึงการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการขนส่ง
    – มีตัวเลือกในการตั้งค่าภาษีสำหรับการจัดส่งสินค้า
  • 5. การจัดการช่องทางการชำระเงิน (Payment Gateway Management)
    – ผู้ดูแลสามารถเพิ่มและตั้งค่าช่องทางการชำระเงินได้ตามความต้องการ เช่น การโอนเงินผ่านธนาคาร การชำระผ่านบัตรเครดิต PayPal หรือบริการอื่น ๆ
    – มีฟังก์ชันในการกำหนดช่องทางการชำระเงินที่ลูกค้าสามารถเลือกใช้ได้ในขั้นตอนการชำระเงิน
    – WooCommerce รองรับการชำระเงินในหลายสกุลเงินและสามารถตั้งค่าภาษีได้
  • 6. การจัดการลูกค้าและผู้ใช้ (Customer and User Management)
    – ผู้ดูแลสามารถดูข้อมูลของลูกค้าที่ลงทะเบียน ตรวจสอบคำสั่งซื้อของลูกค้า รวมถึงส่งการแจ้งเตือนทางอีเมลไปยังลูกค้า
    – รองรับการสร้างกลุ่มลูกค้าและตั้งค่าการเข้าถึงเฉพาะ เช่น ลูกค้าประจำหรือ VIP
    – ระบบอนุญาตให้ผู้ดูแลสามารถจัดการการลงทะเบียนและข้อมูลผู้ใช้ได้
  • 7. การสร้างและจัดการคูปองหรือโปรโมชั่น (Coupon and Discount Management)
    – WooCommerce มีฟังก์ชันสำหรับสร้างและตั้งค่าคูปองส่วนลดตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ส่วนลดตามเปอร์เซ็นต์ ส่วนลดคงที่ หรือการจัดส่งฟรี
    – ผู้ดูแลสามารถกำหนดวันหมดอายุและเงื่อนไขการใช้งานคูปอง เช่น จำกัดการใช้คูปองต่อคำสั่งซื้อหรือต่อผู้ใช้
    – มีฟังก์ชันในการสร้างโปรโมชั่นแบบ Cross-Selling และ Upselling
  • 8. การรายงานและการวิเคราะห์ (Reporting and Analytics)
    – มีระบบรายงานใน WooCommerce ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับยอดขาย ยอดสต็อก และการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า
    – รองรับการดูรายงานตามช่วงเวลา เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน เพื่อให้ผู้ดูแลสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการขาย
    – ฟังก์ชันการรายงานช่วยให้ผู้ดูแลสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดได้ตามข้อมูลที่ได้รับ
  • 9. การตั้งค่าและการปรับแต่ง (Settings and Customization)
    – WooCommerce ให้ผู้ดูแลสามารถตั้งค่าต่าง ๆ ของระบบได้ เช่น การตั้งค่าอีเมลแจ้งเตือน ข้อมูลภาษี และสกุลเงิน
    – มีฟังก์ชันการปรับแต่งรูปลักษณ์ร้านค้า เช่น การเปลี่ยนธีมและการตั้งค่าการแสดงผลของสินค้า
    – สามารถติดตั้งปลั๊กอินเสริมเพื่อขยายความสามารถของ WooCommerce ได้ เช่น การเชื่อมต่อกับระบบ CRM หรือการตลาดอัตโนมัติ

Sitemap ส่วนหน้าบ้าน Woocommerce

ภาพรวมหน้าหลักของ WooCommerce

WooCommerce เป็นปลั๊กอินสำหรับ WordPress ที่ช่วยเปลี่ยนเว็บไซต์ธรรมดาให้กลายเป็นร้านค้าออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ เมื่อคุณติดตั้ง WooCommerce บนเว็บไซต์ของคุณ จะมีการเพิ่มหน้าเว็บหลักที่สำคัญสำหรับการดำเนินงานของร้านค้าออนไลน์ ดังนี้:

1. หน้าร้านค้า (Shop Page)

  • เป็นหน้าหลักที่แสดงรายการสินค้าทั้งหมดของร้านค้า
  • ลูกค้าสามารถเรียกดูสินค้า เลือกหมวดหมู่ และค้นหาสินค้าที่ต้องการได้
  • สามารถปรับแต่งการแสดงผล เช่น การจัดเรียงสินค้า การกรองสินค้า และการแสดงผลแบบตารางหรือรายการ

2. หน้าสินค้า (Product Page)

  • แสดงรายละเอียดของสินค้ารายการเดียว เช่น ชื่อสินค้า ราคา คำอธิบาย รูปภาพ และข้อมูลเพิ่มเติม
  • ลูกค้าสามารถเลือกตัวเลือกสินค้า เช่น ขนาด สี หรือคุณสมบัติอื่น ๆ
  • มีปุ่ม “หยิบใส่ตะกร้า” เพื่อเพิ่มสินค้าลงในตะกร้าสินค้า

3. หน้าตะกร้าสินค้า (Cart Page)

  • แสดงรายการสินค้าที่ลูกค้าเลือกใส่ตะกร้า พร้อมรายละเอียด เช่น จำนวน ราคา และยอดรวม
  • ลูกค้าสามารถปรับปรุงจำนวนสินค้าหรือลบสินค้าออกจากตะกร้าได้
  • มีปุ่ม “ดำเนินการสั่งซื้อ” เพื่อไปยังขั้นตอนการชำระเงิน

4. หน้าชำระเงิน (Checkout Page)

  • เป็นหน้าที่ลูกค้ากรอกข้อมูลการจัดส่งและการชำระเงิน
  • รองรับวิธีการชำระเงินหลากหลาย เช่น โอนเงินผ่านธนาคาร บัตรเครดิต หรือวิธีการอื่น ๆ ที่ตั้งค่าไว้
  • ลูกค้าสามารถตรวจสอบรายละเอียดคำสั่งซื้อก่อนยืนยันการสั่งซื้อ

5. หน้าบัญชีของฉัน (My Account Page)

  • ให้ลูกค้าจัดการข้อมูลส่วนตัว ดูประวัติการสั่งซื้อ และติดตามสถานะคำสั่งซื้อ
  • ลูกค้าสามารถแก้ไขที่อยู่สำหรับการจัดส่งและการเรียกเก็บเงิน
  • มีฟังก์ชันสำหรับรีเซ็ตรหัสผ่านและจัดการรายละเอียดบัญชีอื่น ๆ

6. หน้าขอบคุณ (Thank You Page)

  • แสดงหลังจากลูกค้าทำการสั่งซื้อเสร็จสิ้น
  • ยืนยันว่าคำสั่งซื้อได้รับการบันทึก พร้อมรายละเอียดคำสั่งซื้อและข้อมูลการชำระเงิน
  • อาจมีข้อมูลเพิ่มเติม เช่น หมายเลขคำสั่งซื้อ และรายละเอียดการจัดส่ง

นอกจากนี้ WooCommerce ยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น หน้าหมวดหมู่สินค้า (Category Page) และหน้าค้นหา (Search Results Page) ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเรียกดูและค้นหาสินค้าได้อย่างสะดวก ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่งและจัดการหน้าต่าง ๆ เหล่านี้ผ่านแดชบอร์ดของ WordPress เพื่อให้ตรงกับความต้องการของร้านค้าและประสบการณ์การใช้งานของลูกค้า

Demo : https://sale.boostpress.com/shop/

Slide : https://www.canva.com/design/DAGT-mOAqo4/C0fGQSCSxX6xw1DWwxkDCg/view?utm_content=DAGT-mOAqo4&utm_campaign=designshare&utm_medium=link&utm_source=editor

บทเรียนอื่น ๆ

ปลั๊กอิน Wordpress แจ่ม ๆ อยู่ที่นี่